เครื่องฟอกอากาศ กับ ฝุ่นควัน และมลพิษ ในเมืองใหญ่

เครื่องฟอกอากาศ กับ ฝุ่นควัน และมลพิษ ในเมืองใหญ่

อากาศแย่ทั้งฝุ่นควันและมลพิษขนาดนี้ เครื่องฟอกอากาศ ช่วยคุณได้นะ

หากพูดถึงเรื่องสภาวะอากาศกับคนกรุงเทพฯ หรือผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ทั้งหลาย คงจะต้องส่ายหัวกันรัวๆ เพราะจะต้องเจอทั้งแดด ฝนที่มักจะตกกันในเวลาเดินทางไปทำงาน (ก่อนเริ่มงาน) และ ขณะกลับจากที่ทำงาน (หลังเลิกงาน) กันแบบนัดกันมา รวมไปถึง ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และไหนจะก่อสร้างอีก แทบจะล้มทั้งยืน

การสวมหน้ากากป้องกันกันฝุ่นนั้น อาจจะช่วยป้องกันได้ แต่ในแง่ของราคาก็ค่อนข้างแรง และที่สำคัญมันยังเป็นวัสดุสิ้นเปลืองอีกต่างหาก ดังนั้นสำหรับคนที่ต้องทำงานอยู่บ้าน ออฟฟิศสำนักงานต่างๆ จะให้ใส่ทั้งวันก็คงอึดอัดแย่ เราเลยมีทางเลือกเพิ่มขึ้นอย่าง เครื่องฟอกอากาศ เพิ่มเข้ามานั่นเอง ทำให้อากาศที่เราหายใจสะอาดขึ้นมากกว่าการไม่มีเครื่องฟอกเลยด้วยซ้ำ

Read more

สัมภาษณ์งานยังไงให้ได้งาน ด้วยการนำเสนอตัวเองอย่างมือโปร

การสัมภาษณ์งานถือเป็นเวทีสำคัญที่จะตัดสินว่าคุณจะได้ทำงานต่อ หรือลากกระเป๋ากลับบ้านไปหางานใหม่ ดังนั้นหาก HR ติดต่อเรียกคุณเข้ามาสัมภาษณ์งาน นั่นแปลว่าคุณได้ผ่านการคัดเลือกจากข้อมูลที่คุณใส่ลงมาในใบสมัครงาน รวมถึงการเรียก ฟรีแลนซ์ และเรซูเม่ในระดับหนึ่งแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็อยู่ที่ตัวคุณ ว่าจะสามารถพรีเซนต์ตัวเองได้เตะตา HR และหัวหน้างานในอนาคตของคุณได้มากแค่ไหน ขอแนะนำขั้นตอนการพรีเซนต์ตัวเองแบบมืออาชีพ ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสการทำงานให้กับคุณ

 

สัมภาษณ์งานยังไงให้ได้งาน ด้วยการนำเสนอตัวเองอย่างมือโปร

1. สร้างความประทับใจตั้งแต่แรกพบ

คำว่า “Love at first sight” ก็ยังใช้ได้ดีกับทุกโอกาส เมื่อถึงวันเวลาที่นัดสัมภาษณ์งาน สิ่งแรกที่ฝ่าย HR จะได้เห็นจากคุณคือการแต่งตัว รูปร่างหน้าตา ดังนั้นคุณควรแต่งตัวให้สุภาพตามความเหมาะสมกับตำแหน่ง หน้าที่ที่คุณสมัครงานไว้ เมื่อถึงสถานที่นัดสัมภาษณ์งาน ส่งยิ้มทักทายให้กับพนักงานคนอื่น ๆ หากมีความจำเป็นต้องมาถึงบริษัทช้ากว่าเวลาที่กำหนดคุณควรโทรศัพท์แจ้งให้ฝ่าย HR ทราบก่อน เนื่องจากการสัมภาษณ์งานในบางตำแหน่ง คุณจะต้องพบกับผู้บริหารระดับสูงหลายท่านที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบมากมาย หากคุณจำเป็นต้องมาช้าจริง ๆ ผู้บริหารที่จะเข้าร่วมการสัมภาษณ์คุณจะได้มีเวลาทำงานอย่างอื่นก่อน

2. อ่อนน้อมถ่อมตน

การไหว้ ถือเป็นการแสดงความเคารพที่ดีที่สุด อีกทั้งยังทำให้คุณดูเป็นคนอ่อนถ่อมตนด้วย ดังนั้นเมื่อเดินทางมาถึงสถานที่สัมภาษณ์งาน คุณควรยกมือไหว้คนที่คุณติดต่อนัดสัมภาษณ์งานไว้ แม้บุคคลนั้นอาจเป็นชาวต่างชาติก็ตาม และเมื่อถึงเวลาเข้าห้องสัมภาษณ์คุณควรนั่งให้เรียบร้อยหลังตรง วางกระเป๋าถือไว้ข้างตัวให้เป็นระเบียบ ไม่ควรนั่งไขว่ห้าง หรือเอนพนักพิง หยุดเล่นโทรศัพท์มือถือขณะอยู่ในช่วงเวลาสัมภาษณ์งานแม้จะเป็นช่วงที่ HR ปล่อยให้คุณทำแบบทดสอบต่าง ๆ ตามลำพังก็ตาม หลังจบการสัมภาษณ์งานควรยกมือไหว้ ทำความเคารพผู้บริหารทุกท่าน รวมถึงกล่าวขอบคุณที่สละเวลามาสัมภาษณ์งานกับคุณ

3. ตัดความกลัว ใส่ความมั่นใจ

ความมั่นใจจะช่วยให้คุณผ่านด่านการสัมภาษณ์งานไปได้ด้วยดี ดังนั้นเมื่อต้องเจอกับคำถามแรกที่ให้แนะนำตัว หรือเล่าประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาให้กับผู้เข้าร่วมสัมภาษณ์ฟัง แม้คุณจะต้องเจอผู้บริหารระดับสูงมากมายแค่ไหน คุณต้องตัดความกลัวนั้นทิ้งไป แล้วเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง พรีเซนต์ตัวเองด้วยเสียงที่ดัง ฟังชัด ไม่กระอึกกระอัก พยายามส่งสายตาและรอยยิ้ม (Eye Contact) ให้แก่ผู้เข้าร่วมสัมภาษณ์ทุกท่าน เพื่อแสดงความจริงใจที่คุณอยากเข้ามาร่วมงานในองค์กรของพวกเขา

สำหรับนักศึกษาจบใหม่ ควรหลีกเลี่ยงการใช้คำ “อะไรก็ได้ แล้วแต่ หนูไม่รู้” ซึ่งจะแสดงให้ HR เห็นว่าคุณขาดความมั่นใจ และไม่พร้อมที่จะสัมภาษณ์งาน หรือแม้กระทั่งไม่พร้อมที่จะทำงาน

4. สื่อสารด้วยคำพูดที่เข้าใจง่าย

หากมีความจำเป็นต้องใช้คำศัพท์เทคนิค หรือคำทับศัพท์ต่าง ๆ ควรเลือกใช้คำพูดที่เข้าใจง่าย ไม่เทคนิคเกินไป เพราะอาจทำให้ผู้ที่สัมภาษณ์คุณเกิดความสับสน และไม่เข้าใจความหมายที่คุณต้องการสื่อสาร

5. หลีกเลี่ยงการพูดโกหก

ผู้ถูกสัมภาษณ์ส่วนใหญ่มักจะเจอคำถามที่ว่า “ทำไมถึงลาออกจากงานที่เก่า” “ข้อเสียในตัวคุณคืออะไร” “คุณเคยทำงานพลาดหรือไม่” แม้จะเป็นคำถามที่ยากจะตอบ แต่เราแนะนำให้คุณพูดความจริงด้วยความมั่นใจ แต่ต้องไม่มีผลกระทบในทางร้ายกับตัวคุณเอง คุณควรเล่าความจริง พร้อมวิธีปรับปรุงแก้ไข ซึ่งนั่นจะแสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่คุณมี และเทคนิคในการรับมือ-แก้ไขปัญหาของคุณ

6. เอกสารประกอบควรมี

“10 ปากว่าไม่เท่าตาเห็น” แม้ในเรซูเม่ของคุณจะใส่ผลงานและประสบการณ์การทำงานมามากแค่ไหน แต่คุณก็ควรมีเอกสารประกอบ หรือผลงานที่คุณเคยทำมามาแสดงให้ผู้สัมภาษณ์เห็น เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น หากเป็นไปได้อาจเล่าถึงที่มาที่ไป และไอเดียที่ทำให้เกิดผลงานขึ้นนั้นด้วย ซึ่งอาจมาในรูปแบบของพรีเซนเตชั่น หรือชิ้นงานที่จับต้องได้

7. แสดงให้ HR เห็นว่าคุณอยากทำงานจริง

สิ่งหนึ่งที่ HR ให้ความสนใจเมื่อเรียกคุณมาสัมภาษณ์งานคือคุณมีความสนใจตำแหน่งงานที่จะทำงานมากแค่ไหน ดังนั้นคุณควรทำการบ้านให้พร้อม ตั้งแต่การศึกษาข้อมูลองค์กรที่คุณจะเข้าทำงาน รวมถึงรายละเอียดในตำแหน่งที่คุณจะเข้ามาทำงาน คุณต้องแสดงให้ผูู้เข้าร่วมสัมภาษณ์เห็นว่าเหตุผลที่คุณอยากทำงานในตำแหน่งนี้ องค์กรนี้คืออะไร คุณสมบัติที่คุณมีจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานได้อย่างไร ทั้งหมดนี้จะทำให้ HR เห็นว่าคุณมีความกระตือรือร้นที่อยากจะทำงานมากน้อยเพียงใด

สมัครงานทั้งที ไม่เคยเป็นที่ถูกเลือก จะทำยังไงถึงจะได้ถูกเลือก

สงสัยกันอยู่ใช่มั้ย ว่าทำไมคุณถึงถูกปฏิเสธไม่ได้รับเข้าทำงาน? คุณอยากให้บริษัทนั้นบอกเหตุผลคุณตามตรง ว่าทำไมถึงตัดสินใจเลือกคนอื่นที่ไม่ใช่คุณหรือเปล่า? เพราะการสมัครงานทั้งที ไม่เคยเป็นที่ถูกเลือก สักทีมันก็จะเฟลค่อนข้างมากอยู่นะ หรือรับงาน ฟรีแลนซ์ เองก็ตามการรับฟังความจริงที่โหดร้ายบางครั้งก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยาก แต่ถ้าคุณไม่รู้ว่าจุดอ่อนของคุณคืออะไร การสัมภาษณ์งานครั้งต่อไปก็อาจจะเป็นเหมือนเดิม ไม่ดีขึ้นก็ได้

 

สมัครงานทั้งที ไม่เคยเป็นที่ถูกเลือก จะทำยังไงถึงจะได้ถูกเลือก

การที่จะวิพากษ์วิจารณ์ใครอย่างตรงไปตรงมา มันไม่ใช่งานที่ HR อยากทำเท่าไหร่ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ HR ส่วนใหญ่พยายามหลีกเลี่ยงที่จะบอกข้อบกพร่อง หรือแม้กระทั่งแจ้งข่าวร้ายที่ว่าคุณไม่ได้รับการจ้างงาน ฉะนั้นเพื่อช่วยคุณในการเตรียมความพร้อมและป้องกันความผิดพลาดอันอาจจะเกิดขึ้นระหว่างการสัมภาษณ์งาน ได้รวบรวมเหตุผลว่า ทำไมคุณไม่เป็นคนที่ถูกเลือกเข้าทำงานซักที

1. คุณยังไม่ใช่คนที่ “ใช่” สำหรับงานนี้

มันอาจเป็นเรื่องง่ายที่จะนำเสนอว่าคุณเหมาะกับตำแหน่งนี้ผ่านทางตัวหนังสือบนเรซูเม่ (ซึ่งเป็นเหตุผลว่าเรซูเม่ที่ดีจะเป็นใบเบิกทางที่ดีให้กับคุณ) แต่สิ่งสำคัญยิ่งไปกว่าการมีเรซูเม่ที่ดีคือการที่คุณนำเสนอตัวตน ไอเดีย และมุมมองของคุณผ่านการสัมภาษณ์งานว่ามันเข้ากันได้กับสิ่งที่องค์กรต้องการหรือไม่

เพื่อป้องกันการถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่าคุณไม่เหมาะกับงานนี้ คุณควรเริ่มจากการหางานที่เหมาะกับคุณมากที่สุด เลือกบริษัทที่คุณคิดว่าใช่ นั่นคือ คุณควรทำความเข้าใจกับประกาศงานก่อนที่คุณจะสมัคร เพื่อให้คุณได้งานที่ต้องการมากที่สุด

2. คุณกับผู้สัมภาษณ์งานมีเคมีไม่ตรงกัน

ธรรมชาติของคนเรา คือมักชอบคนที่มีเคมีตรงกัน และอยากสนับสนุนคนนั้นมากกว่าคนที่รู้สึกไม่ถูกชะตา คนส่วนใหญ่มักจะชอบคนที่เข้ากับเราได้ การสัมภาษณ์งานก็เช่นกัน ทำอย่างไรคุณถึงจะมีโอกาสทำคะแนนเพื่อสร้างมิตรภาพกับผู้สัมภาษณ์งาน? แน่นอนว่าคุณต้องทำการบ้านเพิ่มเติมค่ะ

ในการเตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์งาน การทำการบ้าน หรือหาข้อมูลไม่ควรหยุดอยู่แค่หาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทและตำแหน่งงานเท่านั้น ถ้าเป็นไปได้ คุณควรหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคนที่จะสัมภาษณ์งานคุณด้วย พยายามสืบให้ได้ว่าใครจะเป็นผู้สัมภาษณ์งาน คุณอาจหาข้อมูลเกี่ยวกับเขาคนนั้นจากทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ หรือสอบถามจากเพื่อนหรือคนรู้จักในแวดวงของคุณเกี่ยวกับเขาคนนั้น หากคุณเตรียมตัวมาดี โอกาสในการผ่านรอบสัมภาษณ์งานก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย

3. คุณไม่ได้รับเลือกเพราะแพ้ให้กับเส้นสาย

องค์กรโดยมากมีกระบวนการคัดเลือกคนเข้าทำงานโดยใช้วิธีการบอกต่อหรือแนะนำกันมาผ่านทางพนักงานปัจจุบันที่ทำงานอยู่ เพราะ “เพื่อนของเพื่อน” มักจะเป็นที่น่าไว้ใจและให้ความรู้สึกวางใจที่จะรับเข้าทำงานมากกว่าคนแปลกหน้าที่ต้องเริ่มทำความรู้จักใหม่ตั้งแต่ต้น คุณสามารถแก้ปัญหานี้ได้โดยการหมั่นสร้างไมตรี และสานต่อความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและเพื่อนของคุณอย่างสม่ำเสมอ โลกแคบไปทันตาถ้าคุณมีเพื่อนหรือญาติที่ทำงานอยู่ที่องค์กรที่คุณอยากทำงานด้วยและเขาเหล่านั้นสามารถช่วยคุณได้

4. คุณดูเหมือนว่าจะอยู่ที่ไหนไม่ได้นาน

แม้ว่าการเปลี่ยนงานบ่อยจะถือเป็นเรื่องธรรมดาสามัญในวัฒนธรรมการทำงานของคนในยุคนี้ แต่ข้อเสียของมันก็คือ การมีประวัติการทำงานที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาบนเรซูเม่อาจทำให้คุณถูกมองว่าเป็นคนเหลาะแหละ จับจด ไม่มั่นคง และอยู่ที่ไหนไม่ได้นาน และอาจทำให้คุณเสียโอกาสในการได้งานที่คุณต้องการก็เป็นได้ ฉะนั้นคุณควรใช้ช่วงเวลาในการสัมภาษณ์งานให้เป็นประโยชน์โดยการอธิบายเหตุผลที่ทำให้คุณมีเรซูเม่เช่นนั้น

5. คุณดูพยายามมากเกินไป

การโปรโมทตนเองในการสัมภาษณ์งานถือเป็นศิลปะอันละเอียดอ่อน คุณต้องแสดงออกอย่างมั่นใจ ใช้กลเม็ดและปฏิภาณไหวพริบต่าง ๆ ในการพรีเซนท์ตัวเองให้ดูพอดี ๆ ไม่มากจนดูเป็นคนขี้อวดขี้โม้ หรือหลงตัวเองจนเกินไป คุณควรสร้างความสมดุลระหว่างการโฆษณาความสำเร็จของคุณกับความอ่อนน้อมถ่อมตนและให้เครดิตกับคนรอบข้างที่มีส่วนช่วยให้คุณประสบความสำเร็จด้วย

6. คุณทำผิดพลาดมากเกินไประหว่างการสัมภาษณ์งาน

ความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดพลาดที่เกิดจากความประหม่าในขณะสัมภาษณ์งานนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดาที่ยอมรับกันได้ ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นไม่ใช่ตัวบ่งบอกว่าเราเป็นคนอย่างไรแต่การที่เราแก้ไขข้อผิดพลาดนั้นอย่างไรต่างหากที่จะบ่งบอกถึงอุปนิสัยของเรา การแก้ไขข้อผิดพลาดที่ชาญฉลาดจะเป็นตัวบอกว่าคุณมีปฏิภาณไหวพริบและมีคอมมอนเซนส์ ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญในการทำงานภายใต้ความกดดันต่าง ๆ เช่น การเผชิญหน้ากับลูกค้าที่กำลังวีนเหวี่ยง เป็นต้น การฝึกการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเล็ก ๆ น้อย ๆ บ่อย ๆ จะช่วยให้คุณผ่านพ้นสถานการณ์อันน่าอึดอัดหากมันเกิดขึ้นกับคุณระหว่างการสัมภาษณ์งานครั้งต่อไป

7. คุณปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นไม่ได้

เหตุผลข้อนี้เกี่ยวข้องโดยตรงหากคุณต้องไปเป็น expat หรือต้องไปทำงานต่างประเทศที่คุณไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมท้องถิ่นของประเทศนั้น ๆ ถ้าคุณไม่เคยไปประเทศนั้นเลย คุณควรศึกษาประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างละเอียดก่อนการเข้าสัมภาษณ์งานเพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์

ความสำคัญระหว่าง พนักงานเก่ากับพนักงานใหม่ แบบไหนดีกว่ากัน

แน่นอนว่าไม่มีองค์กรไหนหรือบริษัทใดที่จะมีแต่พนักงานคนเดิม ชุดเดิมอยู่ทำงานตั้งแต่ก่อตั้งจวบจนถึงปัจจุบันอย่างแน่นอน ตามวงจรชีวิตการทำงานก็จะมีทั้งพนักงานคนเก่าและพนักงานคนใหม่หรือแม้แต่ ฟรีแลนซ์ ที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกัน ขึ้นอยู่ที่ว่าบริษัทนั้น ๆ ตอบโจทย์ของพนักงานได้มากน้อยแค่ไหน เพราะพนักงานแต่ละคนก็มีเงื่อนไขในการใช้ชีวิตที่ไม่เหมือนกัน และแน่นอนว่าเมื่อมีพนักงานเก่าก็ต้องมีพนักงานใหม่ บางองค์กรอาจจะไม่มีปัญหา แต่ในหลาย ๆ องค์กรกลับเกิดปัญหาระหว่างพนักงานเก่ากับพนักงานใหม่อย่างไม่น่าเชื่อ

 

ความสำคัญระหว่าง พนักงานเก่ากับพนักงานใหม่ แบบไหนดีกว่ากัน

ข้อดีของพนักงานใหม่

ช่วยแบ่งเบางาน เพราะเหตุผลหลักที่หลาย ๆ บริษัทเปิดรับพนักงานใหม่ก็เพื่อมาช่วยแบ่งเบาภาระในการทำงานภายในออฟฟิศนั่นเอง
ว่านอนสอนง่าย เพราะเป็นพนักงานใหม่ ยังไม่รู้จักใคร ย่อมไม่มีปากมีเสียง หรือไม่เป็นตัวตั้งตัวดีในการก่อปัญหากับคนอื่น ๆ แน่นอน
มีความคิดสร้างสรรค์ เพราะด้วยความที่เป็นน้องใหม่ ไม่ว่าจะเป็นน้องใหม่วัยเพิ่งเรียนจบ หรือจะเป็นใหม่ที่นี่แต่เก่ามาจากที่อื่นก็ตาม ล้วนแล้วแต่มีความคิดใหม่ ๆ ติดตัวมาเสมอ ส่วนหนึ่งด้วยความที่มาจากอีกองค์กรหนึ่ง มาจากอีกมุมองหนึ่งเลยเสมือนเป็นตัวกระตุ้นความสร้างสรรค์ให้ทีมได้
กระตือรือร้น ด้วยความที่เป็นน้องใหม่ ย่อมมีไฟในการทำงานมากเป็นธรรมดา ฉะนั้นจึงไม่น่าแปลกใจหากน้องใหม่ในทีมจะสามารถทำงานได้เป็นตั้ง ๆ หรือสั่งอะไรก็สามารถทำให้ได้ทันที
เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้ง่าย เพราะด้วยความสด ความใหม่นั่นเองที่ทำให้พนักงานใหม่เปรียบเสมือนน้ำที่ยังไม่เต็มแก้ว พร้อมที่จะรับรู้สิ่งใหม่ ๆ เสมอ ๆ และที่สำคัญส่วนใหญ่มักจะเรียนรู้ได้เร็วเสียด้วย
ข้อเสียของพนักงานใหม่

ประสบการณ์น้อย หรือไม่มีประสบการณ์เลย ซึ่งเป็นข้อเสียที่มักจะพบได้บ่อย ๆ
เสียเวลาในการเทรน สำหรับน้อง ๆที่เพิ่งเรียนจบถือว่าต้องสอนกันยาวไหนจะการปรับตัวให้เข้ากับโลกใหม่ ไหนจะต้องปรับตัวให้เข้ากับบริษัท ไหนจะต้องเรียนรู้งานอีกกว่าจะสามารถทำงานได้เต็มที่จริง ๆ ก็ต้องใช้เวลาพอสมควร หรือแม้แต่คนที่มีประสบการณ์มาแล้วก็ตาม อย่างไรก็ต้องเสียเวลาในการปรับตัวกับองค์กรใหม่ เรียนรู้งานใหม่ เพราะบริษัทแต่ละแห่งแม้จะเป็นงานในขอบเขตที่เหมือนกัน แต่วิธีการทำงานอาจจะไม่เหมือนกัน
ค่าใช้จ่ายสูง ปัจจุบันมีการกำหนดฐานเงินเดือนขั้นต่ำไว้อยู่แล้ว ไหนจะค่าเทรนกว่าจะทำงานได้ดีอีก บริษัทก็ถือว่ามีค่าใช้จ่ายตรงนี้ด้วย
ไม่แน่นอน บางครั้งฝ่ายบุคคลต้องประสบปัญหาพนักงานไม่มาทำงานโดยไม่แจ้งล่วงหน้า หรือตอบตกลงมาทำงานแล้วแต่ถึงเวลากลับไม่มาทำงาน หรือแม้แต่พนักงานใหม่ที่ทำงานอยู่บางคนก็อาจจะอยู่ไม่ทน พอถึงระยะหนึ่งก็ลาออก ทำให้ต้องประกาศรับคนใหม่อีกแล้ว
ข้อดีของพนักงานเก่า

ทำให้งานราบรื่น ด้วยความที่ทำงานมานาน มีประสบการณ์ ฉะนั้นจึงไม่ทำให้บริษัทต้องสะดุดหรือชะงักแน่นอน
รู้งาน เพราะทำงานมานานสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างดีเพราะมีประสบการณ์ในการทำงานแล้ว ย่อมมีทักษะในการแก้ไขปัญหาได้
รู้จักบริษัท รู้ประวัติความเป็นมาของบริษัท รู้ที่มาที่ไปและวัฒนธรรมองค์กรเป็นอย่างไร จึงสามารถปรับตัวให้อยู่ได้อย่างไม่อึดอัด
มั่นคง ส่วนใหญ่พนักงานเก่ามักจะมีอายุงานนาน มักจะไม่เปลี่ยนงานบ่อย ๆ ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาในการเทรนด์งาน สามารถสั่งงานได้เลย
ข้อเสียของพนักงานเก่า

เรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ช้า ทำให้บางครั้งตัวบริษัทไม่สามารถปรับเปลี่ยนตามกระแสโลกภายนอกได้ทัน ก็กลายเป็นองค์กรล้าสมัยไป
มีความคิดเป็นของตัวเอง ด้วยความที่ทำงานมานาน มีประสบการณ์การทำงานเยอะกว่าทำให้พนักงานเก่ายึดความคิดของตัวเองเป็นหลัก จนปิดกั้นแนวทางการทำงานใหม่ ๆ
ความคิดไม่ค่อยสร้างสรรค์ ส่วนหนึ่งด้วยความที่ต้องทำงานเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ทำให้ไม่ค่อยได้พัฒนาความคิด หรือความสร้างสรรค์ใหม่ ๆ งานที่ออกมาจึงเป็นงานเดิม ๆ
หมดไฟ พนักงานเก่าหลาย ๆ คนเริ่มมีครอบครัว มีหน้าที่ความรับผิดชอบที่เพิ่มมากขึ้น จึงมีเวลาทุ่มเทให้กับงานน้อยลง บางคนทำงานหนักที่ออฟฟิศ กลับบ้านก็ต้องมาทำงานบ้าน ดูแลบ้าน ดูแลครอบครัว พอหัวตกถึงหมอนก็หลับเป็นตาย เช้าตื่นมาก็ไปทำงาน แล้วก็วนลูปอยู่อย่างนี้ทำให้ค่อย ๆ หมดไฟกับการทำงานไปในที่สุด

ทักษะการวางตัว เพื่อให้เจ้านายมองเห็นถึงความพยายามของคุณ

การวางตัวในที่ทำงานเป็นสิ่งสำคัญ หากอยากประสบความสำเร็จ ต้องฉลาดคิด ฉลาดพูด เรื่องบางเรื่อง การกระทำบางอย่างไม่ควรแสดงออกต่อหน้าเจ้านาย ถึงแม้จะรับจ้าแบบ ฟรีแลนซ์ คุณอาจไม่คิดอะไร แต่เรื่อง ทักษะการวางตัว แบบนี้เจ้านายให้ความสำคัญ ดังนั้นต้องคิดทุกครั้งก่อนที่จะพูดอะไรออกไปการวางตัวในที่ทำงานเป็นสิ่งสำคัญ หากอยากประสบความสำเร็จ ต้องฉลาดคิด ฉลาดพูด เรื่องบางเรื่อง การกระทำบางอย่างไม่ควรแสดงออกต่อหน้าเจ้านาย ถึงแม้ว่าคุณอาจไม่คิดอะไร แต่เรื่องแบบนี้ เจ้านายให้ความสำคัญ ดังนั้นต้องคิดทุกครั้งก่อนที่จะพูดอะไรออกไป

ทักษะการวางตัว เพื่อให้เจ้านายมองเห็นถึงความพยายามของคุณ

ทักษะการวางตัว เพื่อให้เจ้านายมองเห็นถึงความพยายามของคุณ

1. ผม/ ฉันทำงานนี้เพราะเงิน แม้ว่าเจ้านายอาจรู้ว่า เงินคือแรงจูงใจของคุณ และคุณก็คิดว่าเจ้านายรู้แล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่ควรพูดออกไป
2. ผม/ ฉันจะลาออก เมื่อผม/ ฉัน… คุณไม่ควรให้เจ้านายล่วงรู้ถึงแผนการในอนาคตของคุณ เช่น คุณกำลังเก็บเงินเพื่อไปประกอบกิจการส่วนตัวในอนาคต หรือคุณกำลังจะเรียนต่อ หากปล่อยให้เจ้านายรู้ เจ้านายอาจรีบหาพนักงานคนใหม่มาแทนคุณ และทำให้คุณต้องออกจากงานก่อนเวลาอันควรก็ได้
3. ไม่ใช่ความผิดของผม/ ฉัน การปัดความรับผิดชอบ ไม่ใช่วิสัยของมืออาชีพ หากคุณไม่อยากถูกมองว่าทำตัวเป็นเด็ก ๆ ควรกล้าที่จะเผชิญหน้า กับความจริงเมื่อคุณทำผิดพลาด และหาทางแก้ไขปัญหาให้คลี่คลาย จะดีกว่าการพูดว่า “ไม่ใช่ความผิดของผม/ ฉัน”
4. งานนี้ง่ายเกินไป คุณอาจคิดว่างานง่าย ๆ อย่างนี้ไม่ต้องให้คุณทำก็ได้ คิดได้แต่ไม่ควรให้เจ้านายรู้ เพราะเจ้านายอาจคิดว่า เขาไม่จำเป็นต้องจ้างคุณในเงินเดือนแพง ๆ เพื่อมาทำงานง่าย ๆ อย่างนี้ก็ได้ เขาอาจจ้างคนที่เก่งน้อยกว่า เงินเดือนน้อยกว่ามาทำงานแทนคุณ แล้วสุดท้ายคนที่จะลำบากก็คือตัวคุณเอง
5. ผม/ ฉันทำไม่ได้ เพราะผม/ ฉันมีงานอื่น ในสายตาของเจ้านาย คุณไม่ควรเอางานเสริมของคุณมาเป็นข้ออ้างในการที่ไม่สามารถกลับบ้านดึก ไม่สามารถทำงานล่วงเวลา หรือไม่สามารถทำงานให้เสร็จตรงเวลาได้ เขาอาจถามคุณว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำก่อน-หลัง ซึ่งคุณควรรู้คำตอบดีอยู่แล้ว
6. แสดงออกทางสีหน้า ดวงตา และน้ำเสียง การกระทำสำคัญกว่าคำพูดเสมอ คุณจึงไม่ควรแสดงออกด้วยการถอนหายใจ กรอกตาหรือขึ้นเสียงกับเจ้านาย เมื่อคุณรู้สึกไม่พอใจ การเงียบและวางเฉยเป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
7. ทำเองสิ คนที่กล่าวคำพูดนี้ออกมา จะดูเป็นคนที่ไม่มีน้ำใจ และเห็นแก่ตัวขึ้นมาทันที ดังนั้นจงอย่าพูดคำนี้ออกมาเด็ดขาด หากคุณไม่สามารถช่วยเหลือเขาได้ ให้หาทางเลี่ยง และเลือกใช้คำพูดที่ไม่ทำร้ายจิตใจผู้อื่นจะดีกว่า
8. ผม/ ฉันจะหลับแล้ว แม้ว่าคุณจะง่วงมากในขณะทำงาน จนแทบจะลืมตาไม่ขึ้น แต่คุณควรจะแสร้งทำเป็นว่าคุณยังคงตั้งใจทำงานอยู่ตลอดเวลา ไม่ควรจะยอมรับและพูดออกมาว่า คุณกำลังจะหลับจริง ๆ
9. ให้ผม/ ฉันหาแฟนให้ไหม ไม่ควรหาคู่ให้เจ้านาย แม้ว่าเจ้านายคุณยังโสดอยู่ก็ตาม นั่นหมายรวมถึง ไม่ควรให้ความสนิทสนมกับเจ้านายมากเกินไป ควรจำกัดขอบเขตความสนิทสนมไว้ด้วย เช่น ไม่ควร add เจ้านายเป็นเพื่อนใน facebook ของคุณ หากคุณไม่ต้องการให้เจ้านายรู้เรื่องของคุณมากเกินไป

รับมือจัดการงานหนัก เริ่มต้นงานทุกวันด้วยความสนุกและมีความสุข

เริ่มต้นสัปดาห์ของการทำงาน เป็นช่วงเวลาที่ต้องฝ่าฝันกับความขี้เกียจหลังวันหยุดสุดสัปดาห์ และงานจะพีคสุด ๆ อย่าบอกใคร ทั้งงานเก่าที่ค้างมาจากอาทิตย์ที่แล้ว วิธีรับมือจัดการงานหนัก แถมยังมีงานของอาทิตย์นี้จ่อรออยู่อีก เริ่มต้นสัปดาห์การทำงาน ก็ช่าง busy สุด ๆ จนแทบไม่มีเวลาหายใจหายคอ มาปลุกพลังการทำงานกันใหม่ด้วยวิธีต่อไปนี้

รับมือจัดการงานหนัก เริ่มต้นงานทุกวันด้วยความสนุกและมีความสุข

รับมือจัดการงานหนัก เริ่มต้นงานทุกวันด้วยความสนุกและมีความสุข

1. เริ่มต้นวันใหม่ให้สดชื่น

เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ปลุกพลังให้ชีวิตตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า ออกมายืดเส้นยืดสาย สัมผัสธรรมชาติ สายลมแสงแดด สูดอากาศยามเช้าให้เต็มปอด รับออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย ช่วยสร้างความสดชื่น สดใส ทำให้สมองปลอดโปร่ง มีพลังดี ๆ ที่จะเริ่มต้นงานในวันใหม่ได้อย่างกระฉับกระเฉงมากกว่าที่เคย

2. ปลุกขวัญกำลังใจให้ตัวเอง

มาเสริมสร้างขวัญและกำลังใจให้ฮึกเหิม เชื่อมั่นในตัวเองว่าเราจะสามารถผ่านพ้นกองงานเท่าภูเขาเลากาเหล่านี้ไปได้ในที่สุด กำลังใจที่เข้มแข็งจะทำให้รู้สึกฮึดสู้ อย่าลืมมองดูรอบ ๆ ตัวเรา เพื่อนร่วมงานของเราอีกหลายชีวิตก็กำลังฝ่าฟันทำงาน พยายามเอาชนะอุปสรรคปัญหาต่าง ๆ นานาเหมือนเราอยู่เช่นกัน ตัวเราไม่ได้เป็นคนเดียวที่ทำงานหนักอย่างแน่นอน

3. วางแผนได้ สำเร็จง่ายขึ้น

ต้องรู้จักวางแผนการทำงาน เริ่มจากจดทุกอย่างที่ต้องทำไว้ โดยเรียงลำดับตามความสำคัญของงาน เมื่อทำเสร็จก็ขีดฆ่าออกไป รู้สึกดีใช่ไหมที่สามารถเคลียร์งานแต่ละตัวออกไปได้อย่างต่อเนื่อง หรือจะลองจัดสรรเวลาทำงานโดยใช้หลักการของ Pareto ยึดหลัก 20/80 แบ่งงานของเราออกเป็น 2 ประเภท คือ งานสำคัญมากที่สุด 20% ที่เหลือ 80% คืองานที่สำคัญรองลงมา แล้ววางแผนต่อว่า 80% ของเวลาทำงานในแต่ละวัน เราได้ทุ่มเทกับงานสำคัญ 20% ที่ว่านี้อย่างเต็มที่หรือไม่ หากรู้จักวางแผน จัดลำดับความสำคัญของทุกสิ่งอย่างแล้ว การงานทุกอย่างก็จะลงตัวมากขึ้น และทำให้สำเร็จได้ง่ายขึ้นนั่นเอง

4. ใช้เส้นตายและเป้าหมายเป็นแรงกระตุ้น

นอกจากเส้นตายที่เจ้านาย หัวหน้า หรือลูกค้ากำหนดไว้ จะเป็นเชื้อไฟในการทำงาน (วินาทีสุดท้าย) ได้เป็นอย่างดี หรือจะลองใช้วิธีที่ดีต่อใจมากกว่า ด้วยการตั้งเป้าหมายว่าหากทำงานนี้เสร็จ เราอยากทำอะไร หรือจะให้รางวัลอะไรกับตัวเอง มีเป้าหมายมาล่อใจอย่างนี้ มีพลังในการทำงานอย่างแน่นอน

5. หากไม่ไหว … ต้องให้ทีมช่วย

หากปริมาณงานที่ได้รับมอบหมายมากเกินไป ไม่สามารถทำให้เสร็จได้ภายในวันเดียว ต้องรีบแจ้งหัวหน้างานให้ช่วยหาวิธีแก้ปัญหาทันที ดีกว่าให้งานทั้งหมดมากองอยู่ที่เรา จนต้องล่าช้าส่งผลกระทบไปยังส่วนงานอื่น ๆ ทางที่ดีอาจให้ทีมเข้ามามีส่วนร่วม รวมพลังร่วมด้วยช่วยกัน แถมตอนช่วยกันทำงานยังได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเรื่องงาน สร้างความสัมพันธ์อันดีไปพร้อม ๆ กับการสร้างสรรค์ผลงานอย่างมีประสิทธิภาพ

6. ต้องสู้จึงจะชนะ

พึงระลึกไว้เสมอว่า งานยากเป็นงานที่ท้าทายความสามารถ งานหนักสร้างโอกาสในการเรียนรู้ให้กับตัวเรา เมื่อค่อย ๆ เรียนรู้ปัญหาและหาทางแก้ไขได้ เราจะค้นพบตัวเองว่าสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด ต่อไปเมื่อต้องเจอกับงานยากเท่าไหร่ก็ไม่หวั่น เพราะที่สุดแล้วเราก็จะผ่านไปได้ เพราะเคยผ่านมันมาแล้ว แทนที่คำว่า “ทำไม่ได้” ด้วยคำว่า “ทำอย่างไร” เอาชนะได้ทุกอุปสรรค พร้อมพัฒนา skill การทำงานไปในตัว

7. พร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ เติมไฟในการทำงาน

จงทำตัวเป็นน้ำที่ไม่เต็มแก้วอยู่เสมอ อย่าเพิ่งมั่นใจว่าทำงานมาหลายปีแล้วเราจะเป็นคนทำงานเก่งและมีประสิทธิภาพเสมอไป เพราะเรื่องการทำงานนั้น เราสามารถเรียนรู้และพัฒนาให้ดีขึ้นได้ในทุกวัน เปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ให้กลายเป็นคนกระตือรือร้น ตื่นตัวที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ และศึกษางานใหม่ ๆ อยู่เสมอ เมื่อมีปัญหาก็ฝึกแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ด้วยตัวเอง เรียนรู้จากความผิดพลาด เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอย่างต่อเนื่อง แล้วหนทางของความสำเร็จในสายอาชีพก็จะไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป

8. ออกจากกรอบ หลีกหนีความจำเจ

การอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิม ๆ ทำอะไรซ้ำ ๆ เดิม อยู่ทุกวัน นำไปสู่การเบื่องานได้ในที่สุด แถมยิ่งหนักเป็นสองเท่า หากเจอสถานการณ์งานรุมเร้า เพราะทั้งเบื่อและทั้งเหนื่อย ทางที่ดี อย่าทำตัวให้คุ้นชินกับสภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ออกจากสิ่งแวดล้อมเดิม ๆ ไปหาบรรยากาศใหม่ ๆ ในการทำงาน ลองเปลี่ยนมุม หรือย้ายที่นั่งทำงานชั่วคราว จะได้เกิดแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ในการทำงาน กระตุ้นให้อยากสร้างสรรค์ผลงานให้ดียิ่งขึ้น และมีประสิทธิผลมากขึ้น

9. สร้างจุดเด่น เพิ่ม Talent ให้ตัวเอง

หาสิ่งที่เป็นจุดแข็ง สิ่งที่เราเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในการทำงาน เพื่อมุ่งสู่ความเป็นมืออาชีพ คนที่สามารถรับผิดชอบต่อเรื่องคุณภาพ ต้นทุน เวลาส่งมอบงาน และสามารถสร้าง output ได้มากกว่าที่องค์กรคาดหวัง จะเป็นบุคลากรคุณภาพที่มักจะได้รับความไว้วางใจให้ทำงานสำคัญ ๆ อยู่เสมอ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตนเองในการทำงาน แล้วเราจะรู้สึกว่าตัวเองเก่งขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเกิดความชำนาญแล้ว อะไร ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป อีกทั้งยังสามารถทำงานได้อย่างมีความสุขในทุกวัน

10. ดูแลตัวเอง รู้จักพัก เพิ่มพลังให้ชีวิต

ทุ่มเททำงานหนักแล้วก็อย่าลืมหาเวลาพักบ้าง ดูแลตัวเองกันด้วย เพราะร่างกายไม่ใช่เครื่องจักร ยิ่งทำงานหนักก็ยิ่งต้องใส่ใจดูแลสุขภาพ หาเวลาออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดื่มน้ำตลอดอย่าให้ขาด หาเวลาพักผ่อนให้เพียงพอ หรือจะลองฝึกสมาธิเพื่อ refresh สมองก็ดีไม่น้อย การดูแลตัวเองเป็นอย่างดีจะทำให้มีสุขภาพกายแข็งแรง เพิ่มพลังกาย พลังใจ และพลังสมองในการทำงานหนักได้ต่อไป

หลายคำถามที่ต้องตอบ ก่อนเปลี่ยนงาน ที่ทำอยู่

สำหรับคนทำงานยุคใหม่ การเปลี่ยนงานบ่อยดูจะเป็นเรื่องที่ปกติไปซะแล้ว แต่คุณต้องคิด ก่อนเปลี่ยนงาน ว่า เมื่อผู้ประกอบการเห็นประวัติการทำงานในโปรไฟล์หรือเรซูเม่ว่า “คุณเปลี่ยนงานบ่อยเกินไป” จะทำให้มีผลต่อการพิจารณารับเข้าทำงานได้ รวมถึงบรรดาเหล่า ฟรีแลนซ์ ผู้ประกอบการอาจคิดว่า คุณไม่มีความมั่นคงและไม่มีแรงจูงใจในการทำงานก็เป็นได้ เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ไม่รับคุณเข้าทำงาน ฉะนั้น ก่อนที่จะตัดสินใจเปลี่ยนงานครั้งนี้ น่าจะดี ถ้าคุณได้พิจารณาถึงเหตุผลของการเปลี่ยนงานก่อนว่า “อะไรเป็นแรงจูงใจในการเปลี่ยนงาน” ซึ่งมีอยู่ 6 ปัจจัยด้วยกันที่มีผลต่อความสุขในการทำงาน และความพึงพอใจในงาน แค่คุณตอบคำถามทั้ง 6 ข้อด้านล่างนี้ คุณก็จะทราบว่า ถึงเวลาที่คุณจะต้องเปลี่ยนงานแล้ว หรือคุณยังมีความสุขดีกับการทำงานที่เดิมที่นี่

หลายคำถามที่ต้องตอบ ก่อนเปลี่ยนงาน ที่ทำอยู่

หลายคำถามที่ต้องตอบ ก่อนเปลี่ยนงาน ที่ทำอยู่

1. คุณได้รับเงินเดือนและสวัสดิการในอัตราที่ใกล้เคียงกับบริษัทอื่นในสายงานเดียวกันหรือไม่?

เงินเดือนเป็นปัจจัยหลักที่สำคัญ ที่ใช้ในการพิจารณาก่อนเปลี่ยนงานเลยก็ว่าได้ แต่ก็ไม่ควรมองข้ามปัจจัยอื่น ๆ ด้วย เช่น เพื่อนร่วมงานที่ดี, การสร้างแรงบันดาลใจในการทำงาน และบรรยากาศที่ดีในการทำงาน เป็นต้น หากคุณพิจารณาจากทั้ง เงินเดือน สวัสดิการ และปัจจัยอื่น ๆ แล้วว่า ตัวคุณเองมีคุณค่ามากกว่าสิ่งที่คุณได้รับอยู่ ลองหาโอกาสพูดคุย ต่อรองกับหัวหน้างานหรือเจ้านายของคุณดูว่าจะได้ผลหรือเปล่า

2. การทำงานของคุณมีความท้าทายมากพอหรือไม่

ถ้าคุณกำลังเบื่องานที่ทำ คุณจะรู้สึกว่าไม่มีกระจิตกระใจที่จะทำงานอะไร แรงบันดาลใจไม่มี ความคิดสร้างสรรค์ไม่เกิด สาเหตุอาจมาจากงานที่คุณรับผิดชอบเป็นงานเดิม ๆ ไม่มีอะไรใหม่ จึงทำให้หมดความท้าทายในการทำงานไป ให้คุณลองคิดทำโปรเจคใหม่ ๆ เพื่อแสดงศักยภาพในการทำงาน และสร้างความประทับใจให้หัวหน้าหรือเจ้านายเห็น จากนั้นดูว่าคุณมีได้ขยับขยาย ได้เลื่อนตำแหน่งเพื่องานที่ท้าทายมากขึ้นกว่าเดิมหรือไม่ หรือได้ขึ้นเงินเดือนบ้างหรือเปล่า

3. คุณเหมาะกับวัฒนธรรมองค์กรของบริษัทที่คุณทำงานอยู่หรือเปล่า?

สไตล์การทำงานและการบริหารงานขององค์กร ในบริษัทที่คุณทำงานอยู่ เป็นไปในทิศทางที่เหมาะสมกับตัวคุณหรือไม่? ถ้า “ใช่” คุณคือหนึ่งในผู้โชคดี เพราะความเข้ากันได้นี้ จะทำให้คุณมีความสุขในการทำงาน และสร้างผลงานได้อย่างมีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพ

4. มีสมดุลกับชีวิตส่วนตัวในงานปัจจุบันหรือไม่?

ความสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงานเป็นสิ่งสำคัญกับคุณหรือไม่? ถ้า “ใช่” ลองสังเกตุดูว่า ผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากน้อยแค่ไหน ถ้างานที่คุณทำอยู่ตอนนี้ ทำให้สุขภาพของคุณทรุดโทรม ทั้งเครียด ทั้งป่วย นี่ก็เป็นสาเหตุที่ดี ที่คุณควรเปลี่ยนงาน เพราะเงินก็ไม่สามารถทำให้สุขภาพของคุณกลับมาสมบูรณ์ 100 เปอร์เซนต์ได้หรอก

5. ถ้ายังทำงานอยู่ที่นี่ คุณมีโอกาสที่จะเติบโตในสายอาชีพนี้ต่อไปหรือเปล่า?

ถ้าคุณเล็งเห็นแล้วว่า การเปลี่ยนงาน จะทำให้คุณสามารถเติบโตในสายอาชีพไปได้ไกลกว่านี้ ก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าคุณยังไม่ได้แจ้งให้กับหัวหน้างานหรือเจ้านายทราบ ให้คุณลองดูว่า คุณค่าในตัวคุณ และผลงานคุณภาพต่าง ๆ ที่คุณได้สร้างขึ้น ทำให้พวกเขาพยายามรักษาคนทำงานคุณภาพเช่นคุณไว้หรือเปล่า หรือพวกเขาหาวิธีที่ดีที่สุด เพื่อให้คุณได้มีความก้าวหน้าในสายอาชีพต่อไปหรือไม่

6. คุณชอบสภาพแวดล้อมในการทำงานหรือไม่?

สภาพแวดล้อมในการทำงาน ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ไม่ควรมองข้าม อย่างตอนเช้าคุณต้อง ตื่นเช้าแค่ไหน เพื่อออกมาฝ่าปัญหารถติดไปทำงาน บางวันไปถึงที่ทำงานสาย ก็อาจทำให้คุณเสียสิทธิบางอย่างตามกฎระเบียบของออฟฟิศไป จะดีกว่ามั้ย หากคุณจะเปลี่ยนงาน เปลี่ยนที่ทำงานให้ใกล้บ้านมากขึ้น หรือว่าจะเป็นหัวหน้างาน เจ้านายหรือเพื่อนร่วมงาน ก็เป็นอีกสิ่งที่สำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงานได้ ลองสำรวจดูว่า คุณทำงานกับพวกเขาด้วยความสบายใจหรือเปล่า เพื่อนร่วมงานของคุณ สามารถเชื่อใจได้ ทำงานได้ดี ทำงานด้วยกัน แล้วสมาชิกในทีมมีความเข้ากันได้มากน้อยแค่ไหน เพราะสิ่งเหล่านี้ จะส่งผลต่อทั้งคนในทีมและบริษัท สภาพแวดล้อมในการทำงาน จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่ไม่ควรมองข้ามเหมือนกัน

cr.jobsdb

รู้หรือยัง? คุณเป็นคน ทำงานแบบสร้างเงิน หรือสร้างงาน ของคุณ

หลักพุทธศาสนาสอนให้เรายึดถือทางสายกลางเป็นที่ตั้ง เพราะอะไรที่ตึงเกินไปก็ไม่ดี หย่อนเกินไปก็ไม่ดีอีกเช่นกัน ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม หรือแม้แต่เรื่องงาน ที่มีการทำงานแบบ ทำงานแบบสร้างเงิน หรือสร้างงาน โดยเฉพาะการทำฟรีแลนซ์ ถ้าให้น้ำหนักกับเรื่องงานเพียงอย่างเดียว หรือให้ความสำคัญกับเรื่องส่วนตัวมากกว่างาน ก็ไม่เป็นผลดีทั้งนั้น คนทำงานอย่างเรา ๆ จึงต้องพยายามสร้างสมดุลให้ชีวิตทั้งสองด้าน มาดูกันว่าคนทำงานแบบให้เงินสร้างงาน กับคนทำงานแบบให้งานสร้างเงินนั้นเป็นเช่นไร เราเข้าข่ายประเภทไหน แล้วทำอย่างไรจึงจะค้นพบคำตอบที่ใช่ให้กับชีวิตและหน้าที่การงาน ให้เจอกันครึ่งทางได้อย่างสมดุลที่สุด

รู้หรือยัง คุณเป็นคนทำงานแบบสร้างเงิน หรือสร้างงาน

รู้หรือยัง? คุณเป็นคน ทำงานแบบสร้างเงิน หรือสร้างงาน ของคุณ

  • คนทำงานแบบเงินสร้างงาน – คนทำงานแบบเงินสร้างงาน มีเงินเป็นแรงบันดาลใจสูงสุดในการทำงาน เงินมา…งานเดิน ทำงานตามจำนวนเงินเดือนที่ได้รับเท่านั้น คนกลุ่มนี้มีความคิดว่าไม่จำเป็นต้องโหมทำงานมากมาย ไม่ต้องทุ่มสุดตัว ได้เงินเดือนแค่ไหน ก็ทำงานแค่นั้น แล้วทำงานตามเงินค่าจ้างที่ได้รับผิดตรงไหน ในเมื่อเราก็ยังทำงาน ไม่ได้นั่งเฉย ๆ แค่ไม่ทุ่มสุดตัวให้เหนื่อยยากลำบากแสนสาหัส คำตอบก็คือไม่ผิด แต่การทำงานแบบเอาเงินเป็นตัวตั้งก็ไม่ต่างอะไรกับการทำงานเพียงแค่เลี้ยงชีพ ให้มีชีวิตอยู่เพื่อรอดไปวัน ๆ เราอาจเดินทางถึงเป้าหมาย คือ รายได้ หรือตัวเงินในบัญชีธนาคาร แต่ชีวิตขาดความหมายและคุณค่าบางประการไปอย่างน่าเสียดาย เพราะมัวแต่อยู่ใน Comfort zone จนไม่กล้าเสี่ยงทำอะไรใหม่ ๆ ปล่อยให้โอกาสและความท้าทาย ในการทำงานผ่านไปวันแล้ววันเล่า โดยไม่ได้พิสูจน์ตัวเองเลยว่า เรามีศักยภาพมากน้อยแค่ไหน เราทำอะไรได้ดี เราทำอะไรได้อีก และเรามีคุณค่าในตัวเองอย่างไร วิถีของคนทำงานแบบเงินสร้างงานช่างดูจำเจและเช้าชามเย็นชามอะไรเช่นนี้ หรือเราจะลองเปลี่ยนเป็นคนทำงานอีกประเภทที่ทำงานแบบงานสร้างเงิน…จะดีกว่ากันหรือไม่…อย่างไร
  • คนทำงานแบบงานสร้างเงิน – คำจำกัดความของคนทำงานแบบงานสร้างเงินก็คือ งานมาก่อน เงินสำคัญรองลงมา เห็นงานสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ตั้งใจทำงานเพราะมีใจรักเป็นที่ตั้ง มีความชอบ มีความอยากทำเป็นพื้นฐาน คนทำงานประเภทนี้มักทำทุกอย่างด้วยความเต็มใจ มีจิตใจที่เปิดกว้าง เรียนรู้ได้จากทุกสิ่งทุกอย่างที่ลงมือทำและทุกคนที่ได้พบเจอ ไม่ปฏิเสธโอกาสและความท้าทายที่ผ่านเข้ามา เป็นคนทำงานที่ทุกองค์กรต้องการตัวมาร่วมงานด้วยมากที่สุด เพราะมี passion ที่ดี มีความมุ่งมั่นทุ่มเทให้กับองค์กรอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากความสุขของคนบูชางานเหนือสิ่งอื่นใดคือการทำงาน คนกลุ่มนี้จึงไม่จำเป็นต้องใช้เงินที่หามาได้ซื้อความสุขเพื่อชดเชยจากการทำงานที่ไม่ชอบ หรือหลีกหนีจากวิถีชีวิตอันไม่พึงปรารถนา ทำให้มีเงินเหลือเก็บ สามารถนำมาลงทุนต่อยอดสร้างฐานะและความมั่นคงให้กับตัวเองต่อไปได้ มองเผิน ๆ ดูเหมือนว่าการทำงานแบบเน้นงานมากกว่าเงินนั้นจะมีแต่เรื่องดี ๆ แต่ก็อย่างที่บอกว่า สัจธรรมของโลกคืออะไรที่มากเกินไปล้วนมีด้านไม่ดีแฝงอยู่ทั้งนั้น หลาย ๆ ครั้งที่คนทุ่มเทให้งาน ละทิ้งชีวิตด้านอื่น ๆ ของตัวเองไปไม่น้อย อย่างการไม่มีเวลาให้ครอบครัว คนรอบข้าง หรือแม้แต่การดูแลตัวเอง กลายเป็นทำงานหนักหักโหมจนเจ็บป่วยทรุดโทรม หรือพลาดโอกาสที่จะมีช่วงเวลาดี ๆ กับครอบครัวและคนรักไปอย่างน่าเสียดาย ชีวิตก็ไม่อาจพบเจอกับความสุขได้อย่างสมบูรณ์พร้อมได้อีกเช่นกัน เข้าข่าย Lucky in game, unlucky in love.
  • จัดสมดุลให้ชีวิตการงานและชีวิตส่วนตัว – เห็นข้อดีข้อเสียของคนทำงานทั้งสองแบบกันแล้ว ก็ให้ลองเลือกข้อดีของแต่ละแบบมาปรับใช้กับชีวิตของเราให้สมดุล เพราะชีวิตของแต่ละคนมีเงื่อนไขและบริบทที่แตกต่างกัน จัดสมดุลในชีวิตให้ดี แล้วลงมือทำด้วยตัวเอง จึงจะบอกได้ว่า “สุขสำเร็จ” ของแต่ละคนนั้นมีวิถีทางเป็นอย่างไร เริ่มต้นจากการวางแผนกำหนดเป้าหมายในชีวิตให้ชัดเจน เพื่อเป็นเข็มทิศนำพาเราไปให้ถึงฝัน

รับมือกับลูกน้องเก่งๆ ไม่ใช่เรื่องยากแค่ทำตามเทคนิคที่แนะนำ

ในโลกการทำงานจริงนั้น บ่อยครั้งที่เจ้านายหรือหัวหน้าอาจไม่ได้เฉียบแหลมกว่าลูกน้องเสมอไป การ รับมือกับลูกน้องเก่งๆ ไม่ใช่เรื่องยากแค่ทำตามเทคนิคที่แนะนำ คล้ายคลึงกับเรื่องราวของเล่าปี่กับขงเบ้ง หรือแม้แต่แม่ทัพที่เกรียงไกรย่อมต้องมีทหารเอกเก่ง ๆ คู่ใจ ยามรบกับใครก็มักได้รับชัยชนะอยู่เสมอ เปรียบเหมือนการมีคนเก่ง ๆ หรือลูกน้องฝีมือดีอยู่ในองค์กร พวกเขาเหล่านี้นี่แหละที่จะมีบทบาทสำคัญ ช่วยส่งเสริมการทำงานให้เราประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก ก้าวสู่เส้นชัยได้ตามความมุ่งหวังตั้งใจ

รับมือกับลูกน้องเก่งๆ ไม่ใช่เรื่องยากแค่ทำตามเทคนิคที่แนะนำ

รับมือกับลูกน้องเก่งๆ ไม่ใช่เรื่องยากแค่ทำตามเทคนิคที่แนะนำ

แทนที่เจ้านายหรือหัวหน้าจะรู้สึกนอยด์หรือกลัวเสียหน้าเมื่อมีลูกน้องที่ทำงานเก่งกว่า ให้ลองเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ พลิกสถานการณ์ให้เป็นความท้าทาย แม้ความเชื่อเดิม ๆ หรือภาพจำส่วนใหญ่ อาจทำให้เรารู้สึกว่าคนเก่งโดยมากมักมีความมั่นใจและมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ทำให้ควบคุมบริหารจัดการได้ยาก สำหรับเรื่องนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวลจนเกินไปนัก เพราะบรรดาผู้นำที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายล้วนมีกุศโลบายรับมือจัดการกับลูกน้องเก่ง ๆ ได้ พอจะหยิบยกมาเป็นแนวทางให้สามารถนำไปปรับใช้กันได้ตามความเหมาะสม

  1. ใช้คนเก่งให้เป็นประโยชน์ – เมื่อมีคนเก่งอยู่ในทีม จงใช้ข้อได้เปรียบนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด พยายามดึงความสามารถต่าง ๆ ของพวกเขาออกมาใช้ ค้นหาว่าพวกเขามีจุดเด่นในเรื่องใด อะไรเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องเรียนรู้เพิ่มเติม แล้วท้าทายพวกเขาด้วยการมอบหมายงานที่จะสามารถนำคนเก่งเหล่านี้ไปสู่ความก้าวหน้าในอนาคตได้
  2. เรียนรู้จากคนเก่ง -เปลี่ยนการแย่งซีน การแข่งขันชิงดีชิงเด่น ให้เป็นการเรียนรู้ร่วมกัน หัวใจสำคัญของการบริหารคือการจัดการคนและกำหนดทิศทางในการทำงานให้ทีม ไม่ใช่การแข่งขันประลองความรู้กับลูกน้อง คนเป็นหัวหน้ามีหน้าที่ต้องเอาชนะใจไม่ใช่เอาชนะงาน ดังนั้น ถ้าลูกน้องเก่งกว่าก็เรียนรู้จากเขา ถามคำถาม และบางครั้งอาจลงมือทำเองบ้าง เพื่อจะได้มีโอกาสสัมผัสกับหน้างานจริง ๆ อย่ามองว่าเป็นเรื่องเสียฟอร์ม เสียการปกครอง ไม่แน่ว่าการใส่ใจถามไถ่เรื่องงานของหัวหน้า ถ้ามาถูกทาง อาจเกิดผลพลอยได้ในเรื่องการสร้างความยอมรับ และเป็นการกระชับความสัมพันธ์กันอีกทางหนึ่งด้วย
  3. ยิ่งไม่รู้ ยิ่งต้องถาม – คนเราไม่ได้เก่งทุกอย่างฉันใด หัวหน้าหรือเจ้านายก็ไม่ได้รู้ทุกเรื่องฉันนั้น อย่าติดกับดักความคิดที่ว่าหัวหน้าต้องเก่งกว่าลูกน้อง เมื่อหัวหน้าถูกลูกน้องถามในเรื่องที่ไม่รู้ การพูดตรง ๆ ว่าไม่รู้ แม้ฟังดูง่าย แต่ก็ยากมหาศาล สิ่งที่ช่วยได้มากที่สุดก็คือความกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความจริง ไม่ใช่สิ่งที่น่าอับอายเมื่อมีเรื่องที่เราไม่รู้ แต่เป็นทักษะที่ผู้นำทั้งหลายต้องฝึกฝนให้เป็นนิสัย เมื่อไม่รู้ให้ตอบตามตรง และขอความช่วยเหลือจากคนมีความรู้ความสามารถ อย่ามองว่าเป็นพฤติกรรมนี้เป็นเรื่องของคนอ่อนแอ กลับกันเป็นการแสดงออกถึงความเข้มแข็งอย่างที่สุด เพราะกล้าหาญที่จะยอมรับความจริงในเรื่องที่ไม่รู้หรือทำไม่ได้ หัวหน้าที่ทำเช่นนี้ได้ถือว่าน่าชื่นชมสุดๆ
  4. รู้กว้าง สร้างวิสัยทัศน์ – บางครั้งหัวหน้าอาจไม่มีความรู้และความชำนาญในงานระดับปฏิบัติการอย่างลึกซึ้งเท่าลูกน้อง เพราะไม่ได้อยู่หน้างานอย่างใกล้ชิดทุกวัน แต่หัวหน้าก็จำเป็นต้องมีความรู้เรื่องอื่น ๆ ที่ลูกน้องไม่รู้ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นวิสัยทัศน์ยาวไกล การวางกลยุทธ์อย่างแยบคาย การตัดสินใจอย่างรอบคอบ การบริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ อย่างราบรื่น หรือแม้แต่การแก้ปัญหาอย่างเฉียบคม ความรู้แบบกว้าง ๆ นี่แหละที่จะเป็นตัวช่วยเพิ่มมูลค่าของหัวหน้า และเรียกความศรัทธาจากลูกน้องได้เป็นอย่างดี
  5. ให้เครดิต เสริมสร้างกำลังใจ – ให้กำลังใจคนทำงานเก่ง ๆ ด้วยการถ่ายทอดเรื่องราวความสำเร็จในการทำงานของพวกเขาให้เพื่อนร่วมงานหรือผู้บริหารคนอื่น ๆ ฟัง ชื่นชมคนเก่งว่าเป็นคนสำคัญของทีมและขององค์กรโดยรวม ไม่ว่าใครก็ต้องรู้สึกดีทั้งนั้น เมื่อหัวหน้าหรือเจ้านายมองเห็นคุณค่าในตัวเรา
  6. ดัน “ดารา” – เปิดโอกาสให้ลูกน้องเก่ง ๆ ได้เรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ เมื่อเห็นโอกาสที่ดีและเหมาะสม ก็ไม่ควรเก็บเขาไว้ที่เดิมจนไม่ได้มีโอกาสเติบโต ส่งเสริมให้เขาได้มีโอกาสรับผิดชอบงานใหม่ ๆ ที่ท้าทาย และเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งได้เติบโตในสายงานขึ้นเป็นลำดับ
  7. กำจัดความกลัว สร้างความมั่นใจ – คนทั่ว ๆ ไปย่อมมีความกลัวในเรื่องต่าง ๆ เป็นธรรมดา ทั้งกลัวไม่เป็นที่รัก กลัวไม่ดีพอ กลัวไม่เข้าพวก ฯลฯ ความกลัวเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นของความไม่มั่นใจและไม่เป็นตัวของตัวเอง วิธีการรับมือกับความกลัวไม่ใช่เรื่องยาก เพียงยอมรับความกลัวด้วยความมั่นใจ แล้วเดินหน้าต่อไป ให้เตือนตนเองเสมอว่าการจ้างและพัฒนาคนที่มีความสามารถเป็นสิ่งที่เจ้านายและหัวหน้าที่ดีควรทำ เพื่อผลดีของทีมและเพื่อประโยชน์สูงสุดขององค์กร

โปรแกรม sEmp ระบบบันทึกฐานข้อมูลพนักงาน ฟรี

หาโปรแกรมสำหรับบันทึกข้อมูลบุคคลต่างๆ ในบริษัทก็ยากเหลือเกิน บางแห่งต้องทำแบบฟอร์มขึ้นมาเองจากโปรแกรม Microsoft Excel เลยก็มี วันนี้ไม่ต้องยุ่งยากแบบนั้นแล้วด้วยโปรแกรม sEmp ระบบบันทึกฐานข้อมูลพนักงาน ฟรี เก็บข้อมูล (Data) และ รูปภาพ (Picture) ของพนักงานในบริษัท อย่างละเอียด มีฟังก์ชั่นสำหรับกำหนดข้อมูลบริษัท แผนก และตำแหน่งพนักงานด้วยโปรแกรมเดียว เห็นแบบนี้เจ๋งไม่ใช่เล่นๆ เลยนะ เอาละมาดูกันดีกว่าว่ามันสามารถทำอะไรได้อีกบ้าง และใช้งานได้ดีขนาดไหนกัน

โปรแกรม sEmp ระบบบันทึกฐานข้อมูลพนักงาน ฟรี

โปรแกรม sEmp ระบบบันทึกฐานข้อมูลพนักงาน ฟรี

ทีมพัฒนาชื่อ Satoshi Interlogickey ออกแบบโปรแกรมที่ใช้สร้างระบบฐานข้อมูลพนักงาน (Resume) โดยจะเก็บประวัติข้อมูลส่วนตัวของพนักงานแต่ละคนได้อย่างละเอียดยิบ ตั้งแต่ข้อมูลทั่วไปอย่างเช่น ชื่อ ที่อยู่ วันเดือนปีเกิด เบอร์ติดต่อ ไปจนถึงข้อมูลประวัติการศึกษาที่มี และข้อมูลเงินเดือนที่ได้รับ รวมถึงวันเริ่มงาน แผนกและตำแหน่งงานที่ทำอยู่ ณ ปัจจุบัน โดยที่สามารถใส่รูปภาพแนบเข้ากับหน้าข้อมูลของพนักงานแต่ละคนได้อีกด้วย

มันมีระบบป้องกันความปลอดภัยของข้อมูล ด้วยการเข้ารหัส ที่ยากต่อการเจาะระบบ (Hacker) หรือ ล้วงเอาความลับในข้อมูลส่วนตัวของพนักงานไปได้ง่ายๆ พร้อมทั้งยังมีระบบในการสำรองไฟล์ข้อมูลเพื่อป้องกันความผิดพลาดและการสูญหายของข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมันได้ถูกออกแบบให้ใช้งานได้ง่าย ไม่มีฟังก์ชั่นที่ซับซ้อน นอกจากนี้โปรแกรมยังมีระบบ ในการตรวจเช็คได้ว่ามีใครบ้าง ที่เข้าไปดูประวัติและข้อมูลเงินเดือนของพนักงานได้ เพื่อความปลอดภัยของข้อมูล และ ป้องกันความลับรั่วไหล

ข้อมูลทั่วไปที่บันทึกลงในประวัติแบบละเอียดมี ข้อมูลทั่วไป, ข้อมูลส่วนตัว, ข้อมูลเงินเดือน, ข้อมูลติดต่อฉุกเฉิน, ข้อมูลประสบการณ์การทํางาน, ข้อมูลประวัติการศึกษา, ข้อมูลทักษะต่างๆ, ข้อมูลความชำนาญด้านภาษา, ข้อมูลไลเซ่นหรือใบอนุญาตต่างๆ ทั้งยังเพิ่มรูปเข้าไปเพื่อความสะดวกในการตรวจและความเข้ากันของประวัติแต่ละบุคคล ทำให้ฝ่ายบุคคล (Human Resourse) ค้นหาประวัติคนที่ต้องการได้ง่ายมากขึ้น โดยตัวโปรแกรมออกแบบมาให้รองรับการใช้งานได้ทั้งภาษาไทย (Thai Ver.) และภาษาอังกฤษ (English Ver.)

ใครที่คิดว่าใช้งานได้ระบบ Windows อะไรได้บ้าง มาทางนี้เลยมันสามารถใช้ได้กับ Windows 7 (Seven) / 8 / Server 2012 / 8.1 / 10 / Server 2016 ที่บอกเลยว่าสบายหายห่วงและทีมพัฒนาเปิดให้ดาวน์โหลดโปรแกรมฟรี (Freeware) อีกด้วย หากกำลังมองหาโปรแกรมบันทึกประวัติ บันทึกข้อมูลส่วนตัว โดยไม่ต้องใช้โปรแกรมอื่นๆ เพิ่มเติม สามารถดาวน์โหลดโปรแกรมตัวนี้ไปใช้ได้เลย มันเป็นโปรแกรมสัญชาติไทยซะด้วย แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้าครับ

« Older Entries Recent Entries »