สัมภาษณ์งานยังไงให้ได้งาน ด้วยการนำเสนอตัวเองอย่างมือโปร

การสัมภาษณ์งานถือเป็นเวทีสำคัญที่จะตัดสินว่าคุณจะได้ทำงานต่อ หรือลากกระเป๋ากลับบ้านไปหางานใหม่ ดังนั้นหาก HR ติดต่อเรียกคุณเข้ามาสัมภาษณ์งาน นั่นแปลว่าคุณได้ผ่านการคัดเลือกจากข้อมูลที่คุณใส่ลงมาในใบสมัครงาน รวมถึงการเรียก ฟรีแลนซ์ และเรซูเม่ในระดับหนึ่งแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็อยู่ที่ตัวคุณ ว่าจะสามารถพรีเซนต์ตัวเองได้เตะตา HR และหัวหน้างานในอนาคตของคุณได้มากแค่ไหน ขอแนะนำขั้นตอนการพรีเซนต์ตัวเองแบบมืออาชีพ ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสการทำงานให้กับคุณ

 

สัมภาษณ์งานยังไงให้ได้งาน ด้วยการนำเสนอตัวเองอย่างมือโปร

1. สร้างความประทับใจตั้งแต่แรกพบ

คำว่า “Love at first sight” ก็ยังใช้ได้ดีกับทุกโอกาส เมื่อถึงวันเวลาที่นัดสัมภาษณ์งาน สิ่งแรกที่ฝ่าย HR จะได้เห็นจากคุณคือการแต่งตัว รูปร่างหน้าตา ดังนั้นคุณควรแต่งตัวให้สุภาพตามความเหมาะสมกับตำแหน่ง หน้าที่ที่คุณสมัครงานไว้ เมื่อถึงสถานที่นัดสัมภาษณ์งาน ส่งยิ้มทักทายให้กับพนักงานคนอื่น ๆ หากมีความจำเป็นต้องมาถึงบริษัทช้ากว่าเวลาที่กำหนดคุณควรโทรศัพท์แจ้งให้ฝ่าย HR ทราบก่อน เนื่องจากการสัมภาษณ์งานในบางตำแหน่ง คุณจะต้องพบกับผู้บริหารระดับสูงหลายท่านที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบมากมาย หากคุณจำเป็นต้องมาช้าจริง ๆ ผู้บริหารที่จะเข้าร่วมการสัมภาษณ์คุณจะได้มีเวลาทำงานอย่างอื่นก่อน

2. อ่อนน้อมถ่อมตน

การไหว้ ถือเป็นการแสดงความเคารพที่ดีที่สุด อีกทั้งยังทำให้คุณดูเป็นคนอ่อนถ่อมตนด้วย ดังนั้นเมื่อเดินทางมาถึงสถานที่สัมภาษณ์งาน คุณควรยกมือไหว้คนที่คุณติดต่อนัดสัมภาษณ์งานไว้ แม้บุคคลนั้นอาจเป็นชาวต่างชาติก็ตาม และเมื่อถึงเวลาเข้าห้องสัมภาษณ์คุณควรนั่งให้เรียบร้อยหลังตรง วางกระเป๋าถือไว้ข้างตัวให้เป็นระเบียบ ไม่ควรนั่งไขว่ห้าง หรือเอนพนักพิง หยุดเล่นโทรศัพท์มือถือขณะอยู่ในช่วงเวลาสัมภาษณ์งานแม้จะเป็นช่วงที่ HR ปล่อยให้คุณทำแบบทดสอบต่าง ๆ ตามลำพังก็ตาม หลังจบการสัมภาษณ์งานควรยกมือไหว้ ทำความเคารพผู้บริหารทุกท่าน รวมถึงกล่าวขอบคุณที่สละเวลามาสัมภาษณ์งานกับคุณ

3. ตัดความกลัว ใส่ความมั่นใจ

ความมั่นใจจะช่วยให้คุณผ่านด่านการสัมภาษณ์งานไปได้ด้วยดี ดังนั้นเมื่อต้องเจอกับคำถามแรกที่ให้แนะนำตัว หรือเล่าประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาให้กับผู้เข้าร่วมสัมภาษณ์ฟัง แม้คุณจะต้องเจอผู้บริหารระดับสูงมากมายแค่ไหน คุณต้องตัดความกลัวนั้นทิ้งไป แล้วเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง พรีเซนต์ตัวเองด้วยเสียงที่ดัง ฟังชัด ไม่กระอึกกระอัก พยายามส่งสายตาและรอยยิ้ม (Eye Contact) ให้แก่ผู้เข้าร่วมสัมภาษณ์ทุกท่าน เพื่อแสดงความจริงใจที่คุณอยากเข้ามาร่วมงานในองค์กรของพวกเขา

สำหรับนักศึกษาจบใหม่ ควรหลีกเลี่ยงการใช้คำ “อะไรก็ได้ แล้วแต่ หนูไม่รู้” ซึ่งจะแสดงให้ HR เห็นว่าคุณขาดความมั่นใจ และไม่พร้อมที่จะสัมภาษณ์งาน หรือแม้กระทั่งไม่พร้อมที่จะทำงาน

4. สื่อสารด้วยคำพูดที่เข้าใจง่าย

หากมีความจำเป็นต้องใช้คำศัพท์เทคนิค หรือคำทับศัพท์ต่าง ๆ ควรเลือกใช้คำพูดที่เข้าใจง่าย ไม่เทคนิคเกินไป เพราะอาจทำให้ผู้ที่สัมภาษณ์คุณเกิดความสับสน และไม่เข้าใจความหมายที่คุณต้องการสื่อสาร

5. หลีกเลี่ยงการพูดโกหก

ผู้ถูกสัมภาษณ์ส่วนใหญ่มักจะเจอคำถามที่ว่า “ทำไมถึงลาออกจากงานที่เก่า” “ข้อเสียในตัวคุณคืออะไร” “คุณเคยทำงานพลาดหรือไม่” แม้จะเป็นคำถามที่ยากจะตอบ แต่เราแนะนำให้คุณพูดความจริงด้วยความมั่นใจ แต่ต้องไม่มีผลกระทบในทางร้ายกับตัวคุณเอง คุณควรเล่าความจริง พร้อมวิธีปรับปรุงแก้ไข ซึ่งนั่นจะแสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่คุณมี และเทคนิคในการรับมือ-แก้ไขปัญหาของคุณ

6. เอกสารประกอบควรมี

“10 ปากว่าไม่เท่าตาเห็น” แม้ในเรซูเม่ของคุณจะใส่ผลงานและประสบการณ์การทำงานมามากแค่ไหน แต่คุณก็ควรมีเอกสารประกอบ หรือผลงานที่คุณเคยทำมามาแสดงให้ผู้สัมภาษณ์เห็น เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น หากเป็นไปได้อาจเล่าถึงที่มาที่ไป และไอเดียที่ทำให้เกิดผลงานขึ้นนั้นด้วย ซึ่งอาจมาในรูปแบบของพรีเซนเตชั่น หรือชิ้นงานที่จับต้องได้

7. แสดงให้ HR เห็นว่าคุณอยากทำงานจริง

สิ่งหนึ่งที่ HR ให้ความสนใจเมื่อเรียกคุณมาสัมภาษณ์งานคือคุณมีความสนใจตำแหน่งงานที่จะทำงานมากแค่ไหน ดังนั้นคุณควรทำการบ้านให้พร้อม ตั้งแต่การศึกษาข้อมูลองค์กรที่คุณจะเข้าทำงาน รวมถึงรายละเอียดในตำแหน่งที่คุณจะเข้ามาทำงาน คุณต้องแสดงให้ผูู้เข้าร่วมสัมภาษณ์เห็นว่าเหตุผลที่คุณอยากทำงานในตำแหน่งนี้ องค์กรนี้คืออะไร คุณสมบัติที่คุณมีจะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการทำงานได้อย่างไร ทั้งหมดนี้จะทำให้ HR เห็นว่าคุณมีความกระตือรือร้นที่อยากจะทำงานมากน้อยเพียงใด

สมัครงานทั้งที ไม่เคยเป็นที่ถูกเลือก จะทำยังไงถึงจะได้ถูกเลือก

สงสัยกันอยู่ใช่มั้ย ว่าทำไมคุณถึงถูกปฏิเสธไม่ได้รับเข้าทำงาน? คุณอยากให้บริษัทนั้นบอกเหตุผลคุณตามตรง ว่าทำไมถึงตัดสินใจเลือกคนอื่นที่ไม่ใช่คุณหรือเปล่า? เพราะการสมัครงานทั้งที ไม่เคยเป็นที่ถูกเลือก สักทีมันก็จะเฟลค่อนข้างมากอยู่นะ หรือรับงาน ฟรีแลนซ์ เองก็ตามการรับฟังความจริงที่โหดร้ายบางครั้งก็เป็นเรื่องที่ยอมรับได้ยาก แต่ถ้าคุณไม่รู้ว่าจุดอ่อนของคุณคืออะไร การสัมภาษณ์งานครั้งต่อไปก็อาจจะเป็นเหมือนเดิม ไม่ดีขึ้นก็ได้

 

สมัครงานทั้งที ไม่เคยเป็นที่ถูกเลือก จะทำยังไงถึงจะได้ถูกเลือก

การที่จะวิพากษ์วิจารณ์ใครอย่างตรงไปตรงมา มันไม่ใช่งานที่ HR อยากทำเท่าไหร่ และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ HR ส่วนใหญ่พยายามหลีกเลี่ยงที่จะบอกข้อบกพร่อง หรือแม้กระทั่งแจ้งข่าวร้ายที่ว่าคุณไม่ได้รับการจ้างงาน ฉะนั้นเพื่อช่วยคุณในการเตรียมความพร้อมและป้องกันความผิดพลาดอันอาจจะเกิดขึ้นระหว่างการสัมภาษณ์งาน ได้รวบรวมเหตุผลว่า ทำไมคุณไม่เป็นคนที่ถูกเลือกเข้าทำงานซักที

1. คุณยังไม่ใช่คนที่ “ใช่” สำหรับงานนี้

มันอาจเป็นเรื่องง่ายที่จะนำเสนอว่าคุณเหมาะกับตำแหน่งนี้ผ่านทางตัวหนังสือบนเรซูเม่ (ซึ่งเป็นเหตุผลว่าเรซูเม่ที่ดีจะเป็นใบเบิกทางที่ดีให้กับคุณ) แต่สิ่งสำคัญยิ่งไปกว่าการมีเรซูเม่ที่ดีคือการที่คุณนำเสนอตัวตน ไอเดีย และมุมมองของคุณผ่านการสัมภาษณ์งานว่ามันเข้ากันได้กับสิ่งที่องค์กรต้องการหรือไม่

เพื่อป้องกันการถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่าคุณไม่เหมาะกับงานนี้ คุณควรเริ่มจากการหางานที่เหมาะกับคุณมากที่สุด เลือกบริษัทที่คุณคิดว่าใช่ นั่นคือ คุณควรทำความเข้าใจกับประกาศงานก่อนที่คุณจะสมัคร เพื่อให้คุณได้งานที่ต้องการมากที่สุด

2. คุณกับผู้สัมภาษณ์งานมีเคมีไม่ตรงกัน

ธรรมชาติของคนเรา คือมักชอบคนที่มีเคมีตรงกัน และอยากสนับสนุนคนนั้นมากกว่าคนที่รู้สึกไม่ถูกชะตา คนส่วนใหญ่มักจะชอบคนที่เข้ากับเราได้ การสัมภาษณ์งานก็เช่นกัน ทำอย่างไรคุณถึงจะมีโอกาสทำคะแนนเพื่อสร้างมิตรภาพกับผู้สัมภาษณ์งาน? แน่นอนว่าคุณต้องทำการบ้านเพิ่มเติมค่ะ

ในการเตรียมตัวสำหรับการสัมภาษณ์งาน การทำการบ้าน หรือหาข้อมูลไม่ควรหยุดอยู่แค่หาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทและตำแหน่งงานเท่านั้น ถ้าเป็นไปได้ คุณควรหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคนที่จะสัมภาษณ์งานคุณด้วย พยายามสืบให้ได้ว่าใครจะเป็นผู้สัมภาษณ์งาน คุณอาจหาข้อมูลเกี่ยวกับเขาคนนั้นจากทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ หรือสอบถามจากเพื่อนหรือคนรู้จักในแวดวงของคุณเกี่ยวกับเขาคนนั้น หากคุณเตรียมตัวมาดี โอกาสในการผ่านรอบสัมภาษณ์งานก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย

3. คุณไม่ได้รับเลือกเพราะแพ้ให้กับเส้นสาย

องค์กรโดยมากมีกระบวนการคัดเลือกคนเข้าทำงานโดยใช้วิธีการบอกต่อหรือแนะนำกันมาผ่านทางพนักงานปัจจุบันที่ทำงานอยู่ เพราะ “เพื่อนของเพื่อน” มักจะเป็นที่น่าไว้ใจและให้ความรู้สึกวางใจที่จะรับเข้าทำงานมากกว่าคนแปลกหน้าที่ต้องเริ่มทำความรู้จักใหม่ตั้งแต่ต้น คุณสามารถแก้ปัญหานี้ได้โดยการหมั่นสร้างไมตรี และสานต่อความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานและเพื่อนของคุณอย่างสม่ำเสมอ โลกแคบไปทันตาถ้าคุณมีเพื่อนหรือญาติที่ทำงานอยู่ที่องค์กรที่คุณอยากทำงานด้วยและเขาเหล่านั้นสามารถช่วยคุณได้

4. คุณดูเหมือนว่าจะอยู่ที่ไหนไม่ได้นาน

แม้ว่าการเปลี่ยนงานบ่อยจะถือเป็นเรื่องธรรมดาสามัญในวัฒนธรรมการทำงานของคนในยุคนี้ แต่ข้อเสียของมันก็คือ การมีประวัติการทำงานที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาบนเรซูเม่อาจทำให้คุณถูกมองว่าเป็นคนเหลาะแหละ จับจด ไม่มั่นคง และอยู่ที่ไหนไม่ได้นาน และอาจทำให้คุณเสียโอกาสในการได้งานที่คุณต้องการก็เป็นได้ ฉะนั้นคุณควรใช้ช่วงเวลาในการสัมภาษณ์งานให้เป็นประโยชน์โดยการอธิบายเหตุผลที่ทำให้คุณมีเรซูเม่เช่นนั้น

5. คุณดูพยายามมากเกินไป

การโปรโมทตนเองในการสัมภาษณ์งานถือเป็นศิลปะอันละเอียดอ่อน คุณต้องแสดงออกอย่างมั่นใจ ใช้กลเม็ดและปฏิภาณไหวพริบต่าง ๆ ในการพรีเซนท์ตัวเองให้ดูพอดี ๆ ไม่มากจนดูเป็นคนขี้อวดขี้โม้ หรือหลงตัวเองจนเกินไป คุณควรสร้างความสมดุลระหว่างการโฆษณาความสำเร็จของคุณกับความอ่อนน้อมถ่อมตนและให้เครดิตกับคนรอบข้างที่มีส่วนช่วยให้คุณประสบความสำเร็จด้วย

6. คุณทำผิดพลาดมากเกินไประหว่างการสัมภาษณ์งาน

ความผิดพลาดเป็นเรื่องปกติธรรมดาของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความผิดพลาดที่เกิดจากความประหม่าในขณะสัมภาษณ์งานนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดาที่ยอมรับกันได้ ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นไม่ใช่ตัวบ่งบอกว่าเราเป็นคนอย่างไรแต่การที่เราแก้ไขข้อผิดพลาดนั้นอย่างไรต่างหากที่จะบ่งบอกถึงอุปนิสัยของเรา การแก้ไขข้อผิดพลาดที่ชาญฉลาดจะเป็นตัวบอกว่าคุณมีปฏิภาณไหวพริบและมีคอมมอนเซนส์ ซึ่งเป็นคุณลักษณะสำคัญในการทำงานภายใต้ความกดดันต่าง ๆ เช่น การเผชิญหน้ากับลูกค้าที่กำลังวีนเหวี่ยง เป็นต้น การฝึกการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเล็ก ๆ น้อย ๆ บ่อย ๆ จะช่วยให้คุณผ่านพ้นสถานการณ์อันน่าอึดอัดหากมันเกิดขึ้นกับคุณระหว่างการสัมภาษณ์งานครั้งต่อไป

7. คุณปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นไม่ได้

เหตุผลข้อนี้เกี่ยวข้องโดยตรงหากคุณต้องไปเป็น expat หรือต้องไปทำงานต่างประเทศที่คุณไม่คุ้นเคยกับวัฒนธรรมท้องถิ่นของประเทศนั้น ๆ ถ้าคุณไม่เคยไปประเทศนั้นเลย คุณควรศึกษาประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่นอย่างละเอียดก่อนการเข้าสัมภาษณ์งานเพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์